การฝึกสมาธิเพื่อให้เห็นสิ่งต่างๆ ผิดหรือถูก...
การฝึกสมาธิ เพื่อให้เห็นสิ่งต่างๆนั้น เป็นการเข้าใจผิด การฝึกสมาธิที่ถูกต้อง คือ การฝึกจิตให้สงบอยู่ที่เดียว เป็นการฝึกสติให้ควบคุมจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน เพราะจิตมีหน้าที่คิดตามสิ่งที่มากระทบ เมื่ออายตนะภายนอก กระทบกับอายตนะภายใน เช่น ตากระทบรูป วิญญาณรับรู้ จิตก็จะคิดตามรูปที่เห็น จะเกิดอารมณ์พอใจ หรือไม่พอใจ ขึ้นอยู่กับเครื่องปรุงแต่งจิต คือกิเลสทั้ง ๓ อย่าง มี ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่ครอบงำจิตในขณะนั้น เสียงกระทบหู กลิ่นกระทบจมูก อาหารกระทบลิ้น เย็น ร้อนอ่อน แข็งกระทบกาย เรื่องราวต่างๆ กระทบใจ แต่ละวันสิ่งที่มากระทบ หลายรูป หลายเสียง หลายกลิ่น หลายรส หลายอย่างกระทบกาย หลายเรื่องกระทบจิตใจ ทำให้จิตคิดตามสิ่งที่มากระทบ เป็นเหตุให้จิตฟุ้งซ่านกระวนกระวาย กระสับกระส่าย เป็นทุกข์ ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงมีอุบายต่างๆ ที่ทำให้จิตสงบ โดยใช้บทภาวนาแล้วแต่ใครจะใช้บทใดบทหนึ่ง เช่น พุทโธ สัมมาอรหัง ยุบหนอพองหนอ เป็นต้น หรือ วิธีเพ่งกะสิน เพ่งดิน เพ่งน้ำ เพ่งไฟ เป็นต้น ฝึกสมาธิได้ทุกอิริยาบท เช่น นั่ง นอน ยืน เดิน ใช้สติควบคุมจิตให้อยู่กับอริยาบทนั้น และใช้ปัญญาพิจารณาดูว่าจิตคิดตามที่เรากำหนดหรือไม่ ผู้ใดที่จิตฟุ้งซ่าน ก็จะคิดถึงอดีตและอนาคต จิตไม่อยู่กับปัจจุบัน เราต้องใช้สติควบคุมจิตให้อยู่กับบทภาวนาอย่างเดียว ต้องฝึกสมาธิบ่อยๆ และนานๆ เพื่อให้จิตสงบ ตามที่เราต้องการ ที่เรียกว่า สมาธิ การฝึกสมาธิสิ่งที่เราควรเห็นคือ เห็นจิต เห็นอารมณ์ เห็นกิเลส เห็นสติ เห็นปัญญา เช่น เห็นจิตคิดอะไรในขณะนั้น เห็นอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจ เห็นกิเลสข้อใด ครอบงำจิตในขณะนั้น เห็นสติระลึกรู้ว่า กาย วาจา ใจ สงบหรือไม่ ปัญญาจะทำหน้าที่คอยช่วยเหลือจิต ให้คิดแต่เรื่องที่ดีมีประโยชน์ ไม่ให้อยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส ควบคุมอารมณ์ไม่ให้หวั่นไหวไปตามกิเลส ใช้สติให้คอยควบคุม กาย วาจา ใจ ผู้ที่มีปัญญามากก็สามารถควบคุมการทำสมาธิได้ จิตก็จะไม่ฟุ้งซ่าน และสงบในที่สุด ผู้ที่มีสติปัญญาน้อยไม่สามารถที่จะควบคุมกาย วาจา ใจ ได้ การฝึกสมาธิก็ไม่เกิดผล จิตจะฟุ้งซ่านไปตามอำนาจของกิเลส จึงเกิดความล้มเหลวในการทำสมาธิ ดังที่เราจะได้ยินกันเสมอว่าฉันฝึกสมาธิไม่ได้ จากหลายคนที่หัดฝึกสมาธิ เมื่อเป็นเช่นนี้เราต้องฝึกสติ และศึกษาหาความรู้จากครูบาอาจารย์ เพื่อให้เกิดปัญญามากขึ้น จะได้นำมาช่วยเหลือจิตที่ถูกกิเลสครอบงำต่อไป การฝึกสมาธิให้จิตสงบอย่างเดียว ปัญญาไม่เกิด ปัญญาจะเกิดได้ต้องนำ คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำมาพิจารณาแล้วปฏิบัติตาม แต่ละบทเพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงตามพระองค์ท่าน เช่น ท่านสอนให้เรารู้ว่าตัวเราไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นเพียง ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เราต้องพิจาณาให้เห็นจริง ท่านสอนให้เราพิจารณาให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ทุกอย่างเป็นอนัตตา ต้องสูญสลายไปตามกาลเวลา ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปในที่สุด การฝึกสมาธิเมื่อจิตสงบ จึงใช้ให้จิตพิจารณาธรรมต่างๆ แล้วเห็นสัจธรรม นี่คือ ความเห็นที่ถูกต้องเพราะเกิดปัญญา
การฝึกสมาธิเพื่อให้เห็นสิ่งต่างๆ เช่น เห็นแสง สี เห็นเปรต เห็นเทวดา เห็นพระพุทธรูป หรือเห็นสิ่งอื่น ๆ ก็ตาม เป็นความเห็นที่ไม่เกิดประโยชน์ อาจารย์บางท่านสอนให้นั่งสมาธิ เพื่อให้เห็นเทวดา ผู้นั่งสมาธิก็เกิดจินตนาการวาดภาพเทวดาขึ้นในจิต ภาพเทวดาก็เกิดขึ้นเป็นมโนภาพ เพราะจิตประหวัด เป็นเหตุให้ผู้นั่งสมาธิ หลงผิดคิดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสำเร็จแล้ว ที่จริงเป็นการหลอกตัวเอง และหลอกผู้อื่นด้วย การนั่งสมาธิดังกล่าวไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย กลับเกิดโทษกับตนเอง ทำให้ลุ่มหลง มัวเมาในตัวตน กิเลสเพิ่มขึ้น จิตไม่มีโอกาสสงบ ปัญญาก็ไม่เกิด เพราะจิตไปติดอยู่กับมโนภาพต่างๆ ที่นั่งสมาธิแล้วเห็น เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาไตร่ตรองให้ดีว่า การทำสมาธิอย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์ ท่านจะไม่ต้องเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
ขอความสุขสวัสดี จงเกิดแก่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน...เทอญ...