มืดมามืดไป หมายความว่า มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่มีความทุกข์ ความสุขแตกต่างกัน บางคนมีความทุกข์ยากลำบากเป็นคนยากจน ไม่มีบ้านจะอยู่อาศัย ไม่มีอาหารจะกิน ไม่มีเสื้อผ้าจะสวมใส่ เวลาเจ็บป่วยไม่มียาจะรักษาโรค ที่เป็นเช่นนี้เพราะในอดีตชาติเคยทำกรรมชั่วมามาก ทำกรรมดีมาน้อย เมื่อมาเกิดในชาติปัจจุบันนี้ จึงส่งผลให้มีความทุกข์ มากกว่าความสุข นี่คือ ความหมายของคำว่า มืดมา
ส่วนคำที่ว่า“มืดไป”นั้น หมายถึง มนุษย์ที่เกิดมาในชาติปัจจุบันนี้ ได้รับความทุกข์ยากลำบาก ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ชาติปัจจุบันนี้ก็ยังทำกรรมชั่วอีก เช่น ไม่เคยให้ทาน แต่กลับไป ปล้นจี้ ฉกชิง วิ่งราว ลักทรัพย์ เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เคยนำศีลมารักษากาย วาจา แต่กลับประพฤติผิดศีล ผิดธรรม เช่น ฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ฉ้อโกง เป็นชู้กับสามี ภรรยาผู้อื่น พูดปด หลอกลวง พูดเพ้อเจ้อ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ แล้วยังดื่มสุรา เครื่องดองของเมา เสพยาเสพติดให้โทษ ขาดคุณธรรมประจำใจ ขาดความเมตตากรุณา ประกอบอาชีพทุจริตในการเลี้ยงชีพ มีความมักมากในกามารมณ์ ไม่มีสัจจะ ขาดสติคือระลึกไม่ได้ขาดสัมปชัญญะคือไม่รู้ตัวว่ากำลังทำชั่ว ขาดหิริคือไม่ละอายต่อบาป ขาดโอตตัปปะคือไม่เกรงกลัวต่อบาป เมื่อขาดทั้งศีล ขาดทั้งธรรม จิตก็จะเศร้าหมอง ตลอดชีวิตสร้างแต่กรรมชั่ว ไม่ได้สร้างกรรมดี ไม่ให้ทาน ไม่นำศีลมารักษากาย วาจา ไม่เจริญสมาธิ ไม่มีปัญญา ไม่มีคุณธรรมประจำใจ ในชาติปัจจุบันนี้ก็จะพบแต่ความทุกข์ ทรมาน เมื่อตายไป อาจจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือสัตว์นรก เปรต อสูรกาย ก็แล้วแต่ว่าใครจะทำกรรมชั่วมากน้อยต่างกัน ถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็ยิ่งจะมีความทุกข์ทรมาน มากกว่าชาติปัจจุบันนี้อีกหลายเท่า นี่คือ ความหมายของคำว่า มืดมามืดไป
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้แจ้ง เห็นจริงว่า มนุษย์และสัตว์ซึ่งเกิดมาในโลกนี้ ย่อมเป็นไปตามกรรม ใครทำกรรมดีมามาก เกิดมาจะมีความสุขมากกว่าความทุกข์ ใครที่ทำกรรมชั่วมามาก เกิดมาก็จะมีความทุกข์มากกว่าความสุข ท่านจึงตรัสสอนให้มนุษย์ละชั่ว ประพฤติดี ทำจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ เช่น ท่านสอนให้เรารู้จักแบ่งปันทรัพย์ให้ทานบ้าง เท่าที่สามารถจะแบ่งปันได้ โดยตนเองไม่เดือดร้อน เพื่อเป็นการสะสมทรัพย์สมบัติไปใช้ในชาติหน้า เมื่อไปเกิดในชาติหน้าเราจะมีทรัพย์สมบัติเงินทอง ไม่ยากจน
พระองค์ท่านสอนให้เรานำศีลมารักษากาย วาจา ไม่ให้ทำชั่ว เพื่อกาย วาจา จะได้สะอาดบริสุทธิ์ เกิดไปชาติหน้าจะมีรูปร่างหน้าตาที่สวยงาม และมีคุณธรรมประจำใจ มีความเมตตา กรุณา เป็นต้น
พระองค์ท่านสอนให้เราฝึกสมาธิ เพื่อให้จิตสงบ แล้วนำคำสอนของ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ หรือขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาพิจารณา เพื่อให้เกิดปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามได้ คือ มีทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ถึงแม้ว่าชาตินี้จะมืดมา แต่ชาติหน้าก็จะสว่างไปอย่างแน่นอน ถ้าหากกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็จะพบแต่ความสุข ความเจริญตลอดไป
สว่างมาสว่างไป
สว่างมา หมายถึงผู้ที่เกิดมาในชาตินี้ มีความสุขมากกว่าความทุกข์ เช่น มีทรัพย์สมบัติมากมาย มีรูปร่างหน้าตาที่สวยงาม มีสติปัญญาดี มีพ่อแม่ที่ดี มีญาติพี่น้องที่ดี มีครอบครัวมีสามีภรรยา และลูกที่ดี เพราะในอดีตชาติได้ประกอบแต่กรรมดี มีการให้ทานด้วยทรัพย์สินเงินทอง เสมอๆ และให้ด้วยใจอันบริสุทธิ์ ไม่หวังสิ่งตอบแทนแต่อย่างใด เมื่อเกิดมาในชาติปัจจุบันนี้ จึงมีทรัพย์สมบัติ เงินทอง มากมาย ผู้ใดในอดีตชาติ ได้นำศีล ๕ มารักษากาย วาจา ให้สะอาด ปราศจากความชั่ว และยังมีคุณธรรมประจำใจ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่กลับช่วยเหลือสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน ไม่ไปกระทำผิดกฎหมาย ทุจริตคดโกง ลักทรัพย์ หรือฉกชิง วิ่งราว หรือปล้นทรัพย์จากผู้ใด แต่กลับบริจาคแบ่งปันทรัพย์ให้ผู้ที่ขาดแคลน ไม่ประพฤติตนเป็นชู้สู่สมกับ สามีภรรยา ของผู้อื่น แต่กลับช่วยเหลือสามี ภรรยาที่แตกแยก ให้คืนดีอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่พูดโกหกหลอกลวง ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ เพ้อเจ้อ ให้ผู้อื่นได้รับทุกข์ มีแต่สัจจะความจริงใจให้กับทุกคนไม่ดื่มสุราเมรัย เพราะกลัวขาดสติ สัมปชัญญะ ซึ่งเป็นเหตุให้ทำความชั่วได้ทุกอย่าง มีสติอันรอบคอบอยู่เสมอ ผู้ใดได้ประพฤติปฏิบัติ ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ในอดีตชาติ เกิดมาในชาติปัจจุบันนี้ จะเป็นผู้มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม
สำหรับผู้ที่เกิดมา มีสติปัญญาดีในชาติปัจจุบันนี้ เนื่องมาจากในอดีตชาติ เขาได้มีสมาธิ (ความตั้งใจมั่น) ที่จะศึกษาเล่าเรียนวิชาการต่าง ๆ ทั้งทางโลกและทางธรรม มีสมาธิในการฟัง คำสั่งสอน ของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และสนใจ ศึกษาพระธรรมคำสอน ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านำมาปฏิบัติตามเสมอ ๆ ทำให้มีความรอบรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม ที่เรียกว่า ปัญญารอบรู้ คือ รู้ผิด รู้ถูก รู้ชั่ว รู้ดี รู้บาป บุญคุณโทษ รู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดเป็นโทษ จะเลือกปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นเท่านั้น อีกทั้งประกอบแต่กรรมดี เมื่อเกิดมาในชาติปัจจุบันนี้จึงเป็นผู้ที่มีปัญญา เฉลียว ฉลาด ประพฤติตนตามคำสอนของ พระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นหลักของพระพุทธศาสนา คือ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา มีสติสัมปชัญญะ มีหิริโอตตัปปะ เป็นคุณธรรมประจำใจ นี่คือ ความหมายของคำว่า สว่างมา
ส่วนคำว่า สว่างไป นั้น หมายถึง ผู้ที่เกิดมาในชาติปัจจุบันนี้ มีความเพียบพร้อมสมบูรณ์พูนสุข ทุกอย่าง ไม่ว่าชาติตระกูล มีเกียรติยศ ชื่อเสียง มีทรัพย์สมบัติเงินทองมากมาย มีฐานะร่ำรวย มีสติปัญญา เฉลียวฉลาด มีรูปร่างหน้าตาที่สวยงาม มีครอบครัว ญาติพี่น้องที่สมบูรณ์ มีความสุขกาย สบายใจ ก็ไม่ลุ่มหลงมัวเมาในสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น ประพฤติปฏิบัติตาม พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ละชั่วประพฤติดี ชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ จากกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้ทานแบ่งปันทรัพย์สินเงินทองให้กับผู้ที่ควรให้ นำศีลมารักษากาย วาจา ให้สะอาดบริสุทธิ์ เจริญสมาธิแล้ววิปัสสนาเพื่อให้เกิดปัญญา ด้วยความอดทนขยันหมั่นเพียร พยามยามทำแต่ความดี ถึงแม้ตายไปแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็จะพบแต่ความสุข ความเจริญ ต่อไปหากสามารถชำระกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้หมดสิ้นไปจากจิตได้แล้ว ในที่สุดจะเข้าสู่แดนวิมุตหลุดพ้น ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ในวัฏสงสารอีกต่อไป คือเข้าสู่นิพพาน นี่คือ ความหมายของคำว่า สว่างมา สว่างไป