อุปมาธรรมะ
การเรียนรู้
การเรียนการสอนตามหลักวิชาการมีความจำเป็นอยู่ แต่การเรียนรู้จักตนเอง
เป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง รู้จักตนเองต่างหาก ที่เรียกว่า รู้จริง
การนับถือศาสนา
ผู้ใดถือเทียนไว้ในมือ ไม่ทำการจุดขึ้น ย่อมไม่พบแสงสว่าง ฉันใด
ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ไม่ปฏิบัติตามพระธรรม คำสั่งสอนของ
องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมไม่เกิด ปัญญา รู้แจ้งเห็นจริง ฉันนั้น
ที่อยู่อาศัย
บ้านเรือนที่อยู่อาศัย เราจะรักษาความสะอาด และซ่อมแซมไว้อย่างดี
สักเพียงใด ก็ไม่สามารถจะยับยั้ง มิให้ผุพังได้ ในเมื่อถึงกาลเวลา ฉันใด
ร่างกายของมนุษย์นี้ เราจะเลี้ยงดูด้วยอาหารอย่างดี หรือจะรักษาโรคภัย
ไข้เจ็บ ด้วยยาอย่างดี สักเพียงใด ก็ไม่สามารถที่จะมิให้เกิดความแก่
ความเจ็บ ความตายได้ ฉันนั้น
ฝน
ฤดูฝน ฝนย่อมตกลงมาในโลกมนุษย์นี้มากมาย ไม่มีประมาณ ฉันใด
น้ำใจของผู้ที่มีเมตตาธรรมต่อชาวโลก ก็ไม่มีประมาณ ฉันนั้น
นาฬิกา
นาฬิกาเป็นเครื่องบอกเวลาที่ผ่านไป และจะมาถึง เข็มเล็กบอกวินาที เข็มยาวบอกนาที เข็มสั้นบอกชั่วโมง วนเวียนอยู่ตลอดเวลา ฉันใด
วันเวลาผ่านไป จากชั่วโมงเป็นวัน จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์
เป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เป็นเครื่องหมายบอกถึงความตาย ที่จะมาถึงตัวเรา ฉันนั้น
กตัญญูกตเวทิตาธรรม
ต้นไม้ ต้นใด ที่ชาวสวนปลูกไว้ มีผลดก สมบูรณ์รสหวาน ราคาแพง เป็นบ่อเกิดแห่งทรัพย์สิน เงินทองและความสุขให้แก่ชาวสวน ฉันใด
พ่อแม่ ที่มีลูกเป็นคนดี มีความกตัญญูกตเวที อยู่ในสันดาน
ย่อมนำชื่อเสียง และความสุขมาให้แก่ พ่อ แม่ ฉันนั้น
สังสารวัฏ
เข็มนาฬิกาที่เดินหมุนเวียนได้อยู่ตลอดเวลา เพราะ มีถ่านเป็นเครื่อง
นำพา ฉันใด
สัตว์ทั้งหลาย ในโลกนี้ ย่อมต้องเวียนว่าย ตาย เกิด ท่องเที่ยวในสังสารวัฏ ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมีกิเลส ตัณหา ครอบงำจิต ฉันนั้น
แก่นโลก แก่นธรรม
ธรรมชาติของต้นไม้ มีรากแก้ว และรากฝอยเป็นเครื่องดูดน้ำ มาเลี้ยง
ลำต้น และกิ่งใบ ให้เจริญ งอกงาม เพราะมีรากที่สมบูรณ์ ฉันใด
บุคคลที่มีสติปัญญาดี ใช้คุณธรรมเป็นเครื่องดำเนินชีวิตแล้วไซร้ก็จะมีความสุข ความเจริญ เพราะคุณธรรม มีสติ ปัญญา เป็นต้น ฉันนั้น
ต้นไม้
ต้นไม้ย่อมเจริญงอกงาม เพราะน้ำ ปุ๋ย อากาศ และมีดินดี ฉันใด
ผู้หวังความเจริญแก่ตน หากได้คำสอนที่ดี อาจารย์ที่ดี สถานศึกษาที่ดีและการปฏิบัติดี จิตย่อมเจริญ และผ่องใส ฉันนั้น
มรณภัย
ฤดูหนาว อากาศแห้ง ใบไม้เหลือง และล่วงหล่นลงมาทับถมแผ่นดิน
แล้วเน่าเปื่อยเป็นดิน ฉันใด
มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย เมื่อแก่ชราแล้วก็ต้องถึงซึ่งความตาย เน่าเปื่อยกลายเป็นธาตุดิน ไปในที่สุด ฉันนั้น
สนิมใจ
เหล็กที่มีสนิมเกาะอยู่หนาแน่น จะขัดล้างให้สะอาดได้ยาก ฉันใด
การทำจิตของมนุษย์ที่ติดอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ให้สะอาดได้ยาก ฉันนั้น
สะอาดกาย สะอาดวาจา
การทำร่างกายของมนุษย์ที่สกปรก ด้วยสิ่งสกปรก โสโครกต่างๆ ให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ได้ ฉันใด
การทำให้กาย วาจา ของมนุษย์ ที่สกปรกเต็มไปด้วยความชั่ว ให้ปราศจาก ความชั่วได้ด้วยการนำศีลมารักษา ให้สะอาดบริสุทธิ์ ฉันนั้น
ธรรมชาติของน้ำ
ธรรมชาติของน้ำ มักไหลลงสู่ที่ต่ำได้รวดเร็ว ฉันใด
จิตใจของมนุษย์ ที่มีกิเลสหนาแน่นเต็มไปด้วยโลภะ โทสะโมหะ
มักคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ได้เร็ว ฉันนั้น
โรคกาย โรคใจ
โรงพยาบาล เป็นสถานที่รักษาโรคต่างๆ ของมนุษย์ ฉันใด
วัดและสำนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ก็เป็นสถานที่รักษา โรคทางใจ ฉันนั้น
หมอ กับ พระ
หมอมีหน้าที่ ตรวจโรค ให้ยา แก่ผู้ป่วย เพื่อรักษาให้หายจากโรค ฉันใด
พระสงฆ์ มีหน้าที่ให้ธรรมะ เพื่อช่วยให้มนุษย์ คลายจากทุกข์ ฉันนั้น
วินิจฉัยโรค วินิจฉัยธรรม
หมอที่วินิจฉัยโรค ได้ถูกต้องด้วยความรู้จริงให้ยา แก่ผู้ป่วยให้ถูกกับโรค โรคนั้นย่อมหายเร็ว ฉันใด
พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ย่อมให้ธรรมะที่ถูกจริตกับผู้ฟัง ทำให้ผู้ฟังเข้าใจ และเกิดปัญญา ฉันนั้น
เรือนกาย
บ้านเรือนที่เป็นที่อยู่อาศัยของร่างกาย หากผุพังบางส่วน ต้องซ่อมแซมไว้ ฉันใด
ร่างกายของมนุษย์ เป็นที่อยู่อาศัยของจิต เมื่อเกิดการเจ็บป่วยขึ้น ก็ต้องรักษาเยียวยาไว้ ฉันนั้น
ตัดไม่ขาด
ต้นไม้ ที่ถูกตัดต้นแล้ว แต่ยังมิได้ขุดราก ถอนโคนออก ย่อมแตกขึ้นใหม่ได้อีก ฉันใด
เปรียบเหมือนคนที่ชำระกิเลสอย่างหยาบได้แล้ว แต่ยังมิได้ชำระอนุสัยที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานออก กิเลสย่อมเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ฉันนั้น
เกิด ดับ
ผลไม้ มีการเกิดผลเป็นเบื้องต้น มีผลแก่เป็นท่ามกลาง มีผลสุกแล้วหล่นเป็นที่สุด ฉันใด
สัตว์ทั้งหลาย มีชาติ เป็นเบื้องต้น มีชราเป็นท่ามกลาง มีมรณะเป็นที่สุด ฉันนั้น
สมถะภาวนา
บ้านที่ปิดประตูไว้ เพื่อมิให้คนภายในออก ภายนอกเข้ามา ฉันใด
ผู้ที่ทำสมาธิ จิตสงบ เข้าฌาน ทำให้กิเลสภายใน ไม่ให้ออกภายนอกไม่ให้เข้า ฉันนั้น
แสงจันทร์ แสงใจ
ดวงจันทร์ ที่มีแสงสว่างได้ เพราะได้รับแสงสว่างมาจากดวงอาทิตย์ ฉันใด
มนุษย์ทั้งหลาย จะมีปัญญาที่รู้แจ้ง แทงตลอดก็เพราะได้รับพระธรรม
คำสั่งสอนของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉันนั้น
พระจันทร์วันเพ็ญ
คืนวันพระจันทร์เต็มดวง ส่องแสงสว่างเจิดจ้า เพราะไร้เมฆหมอกปิดบัง ฉันใด
จิตของมนุษย์ย่อมผ่องใสไร้ทุกข์ เพราะไม่มีกิเลสครอบงำ ฉันนั้น
ความมืดบอดเพราะตัณหา
คืนใดที่ดวงจันทร์ไม่มีแสงสว่าง เพราะถูกเมฆหมอกปิดบัง ฉันใด
เปรียบเหมือนจิตของมนุษย์ ที่มืดมนเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส เพราะถูกตัณหา ราคะ ครอบงำ ฉันนั้น
เกิด แก่ เจ็บ ตาย
โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หมุนรอบตัวเอง เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี หมุนเวียนอยู่ ตลอดกาล ฉันใด
ชีวิตสัตว์โลก ย่อมหมุนเวียนเกิด แก่ เจ็บตาย เป็นภพ เป็นชาติเพราะกฎแห่งกรรม ฉันนั้น
ไฟกิเลส
กองไฟที่ลุกอยู่อย่างโชติช่วง ไม่มีวันดับ เพราะมีการเติมเชื้อเพลิงอยู่ตลอดเวลา ฉันใด
เปรียบเหมือน จิตของมนุษย์ที่ถูกไฟแห่งราคะ โทสะ โมหะ เผาผลาญจิตใจให้เร่าร้อน กระวนกระวาย ทุกข์ระทม ไม่มีวันสิ้นสุด ฉันนั้น
น้ำคำพระพุทธองค์
กองไฟที่ไม่มีการเติมเชื้อเพลิง ย่อมดับได้เอง เมื่อหมดเชื้อเพลิง ฉันใด
เปรียบเหมือนกิเลสของพระอริยะที่ยังเหลืออยู่เล็กน้อย ย่อมดับได้
เพราะปัญญาของท่านเอง ฉันนั้น
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ใบไม้ที่เหลืองหลุดออกจากขั้วแล้ว ไม่มีโอกาสจะเขียวสดได้อีก ฉันใด
เปรียบเหมือนการทำกรรมดี กรรมชั่ว ของมนุษย์ ที่ผ่านมา เป็นอดีต
ไม่มีโอกาสจะแก้ไขให้ ดีเป็นชั่ว ชั่วเป็นดีได้ ฉันนั้น
มีสุข ก็มีทุกข์
เมื่อเรายินดี พอใจในสิ่งใด ก็มีความสุข ... เมื่อไม่ยินดี ไม่พอใจ ในสิ่งเดียวกันนั้น ก็เป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น ความสุขที่แท้จริงไม่มี