มนุษย์เป็นโรค ๔ อย่าง
มนุษย์เป็นโรค ๔ อย่าง คือ
(๑) โรค บ้า
(๒) โรค ใบ้
(๓) โรค ตาบอด
(๔) โรค หูหนวก
๑. โรคเป็นบ้า
เป็นโรคบ้า ในที่นี้ หมายถึงผู้ที่บ้าโลภ บ้าโกรธ บ้าความหลง เพราะมีกิเลสครอบงำจิตใจอย่างหนาแน่น ลุ่มหลงมัวเมาใน ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มัวเมาในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต เป็นต้นว่า
บ้าเพราะความโลภ เช่นบ้าทรัพย์สมบัติ มีเท่าไหร่ก็ไม่พอใจ พยายามคิดหาวิธีที่จะหาทรัพย์นั้นมาเพิ่มอีก จะผิดกฎหมาย ผิดครรลองคลองธรรม จะโดยวิธีสุจริตก็ตาม พยายามดิ้นรน กระวนกระวาย ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเพียงใด เพื่อให้ได้ทรัพย์สมบัติ สิ่งของที่ตนต้องการ เช่น มีบ้านอยู่หลังเดียวก็อยากได้เพิ่มอีกเป็น ๒ หลัง ๓ หลัง มีรถยนต์ ๑ คัน ก็อยากได้เพิ่มเป็น ๒ คัน ๓ คัน มีทองอยู่ ๕ บาท ๑๐ บาท ก็อยากได้เพิ่มเป็น ๑๐๐, ๒๐๐ บาท เป็นต้น มีความโลภอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด จะทุกข์ยากลำบากอย่างไรก็ยอม ผู้ที่มีสมบัติมากมายอยู่แล้วก็ไม่พอใจ มีความโลภมาก ไม่ว่าจะได้มาโดยวิธีผิดกฎหมาย หรือผิดครรลองคลองธรรม เช่นการทุจริตคดโกง หลอกลวง ค้ายาเสพติด ค้าอาวุธ ค้ามนุษย์ เพื่อให้ได้ทรัพย์สินตามที่ต้องการ โดยไม่คำนึงถึงความทุกข์ ความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น ซึ่งเกิดขึ้นแล้วกับมนุษย์ทั่วไป นี่คือความโลภทำให้เป็นโรคบ้า
ผู้ที่ไม่บ้าเพราะความโลภ จะต้องมีคุณธรรมประจำใจ คือมีความสันโดษมักน้อย พอใจในสิ่งที่มี ที่ได้ ที่เป็น เช่น ผู้ที่มีทรัพย์สมบัติมาก ก็พอใจในสิ่งที่มี มีน้อยก็พอใจใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ แบ่งให้ทานกับผู้ที่ควรให้ ตามกำลังทรัพย์เสมอ ๆ สิ่งที่ได้มาด้วยความสุจริต ก็พอใจไม่ทุจริต คดโกง หลอกลวงเอาทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตน
สิ่งที่เป็นหมายถึงปัจจุบันเป็นข้าราชการนักการเมือง พ่อค้า ชาวไร่ ชาวนา ก็พอใจในหน้าที่การงานนั้น ๆ ไม่มักใหญ่ใฝ่สูงจนเกินศักดิ์ มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่เสมอ มีคุณธรรม ๒ ประการนี้ ประจำใจคือมี หิริ โอตตัปปะ มีความละอายต่อบาป มีความเกรงกลัวต่อบาป ไม่กล้าทำความชั่วใด ๆ เพราะกลัวว่าผลแห่งกรรมชั่ว จะสร้างความเดือดร้อนให้กับตนเองและครอบครัว จะส่งผลให้ได้รับความทุกข์ยากลำบากทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ผู้ที่ประพฤติตนได้ ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ เป็นคนดี มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย นี้คือผู้ที่ไม่บ้าเพราะความโลภ
บ้าเพราะความโกรธ เช่น ถ้ามีใครมาทำให้ไม่พอใจ ขัดเคืองใจ ก็จะเกิดความโกรธขึ้น เกิดความอาฆาตพยาบาทปองร้าย คิดผูกโกรธเกลียดชัง ไม่มีที่สิ้นสุด จึงคิดหาทางทำร้ายทำลายชีวิต และทรัพย์สิน ของฝ่ายตรงกันข้ามให้พินาศย่อยยับ ไปตามอำนาจของความโกรธ รุนแรงหรือหนักเบาต่างกัน ถ้าโกรธมากขาดสติปัญญาก็จะเกิดเข่นฆ่ากันทำลายทรัพย์สิน ถึงกับเผาบ้าน เผารถ เผาเรือกันก็มี โดยไม่คำนึงถึงความทุกข์ ความเดือดร้อน ที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น
นี่คือผู้ที่บ้าเพราะความโกรธ
ผู้ที่ไม่บ้าเพราะความโกรธ คือผู้ที่มีสติปัญญาดี รู้ผิด รู้ถูก รู้ชั่ว รู้ดี มีคุณธรรมคือมีสติสัมปชัญญะ มีขันติ โสรัจจะ มีความอดทน มีความสงบเสงี่ยม ประจำกาย วาจา ใจเสมอ เมื่อมีสิ่งใด หรือผู้ใดมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเหตุให้เกิดความโกรธ ผู้มีปัญญาดีก็จะใช้สติสัมปชัญญะระลึกได้ และรู้ตัวว่า ใจเกิดความโกรธแล้ว ผู้มีปัญญาดีจะใช้ขันติโสรัจจะ คือความอดทน ความสงบเสงี่ยม สกัดกั้นไม่ให้มีการแสดงออกทาง กาย วาจา ใจ พิจารณาเห็นโทษของความโกรธ ความเดือดร้อน ที่จะตามมาอีกมากมายผู้มีปัญญาดีจึงใหอภัยไม่โกรธแค้นเคืองขุ่น ไม่อาฆาตพยาบาทปองร้าย ไม่คิดทำร้ายทำลายชีวิตและทรัพย์สินใด ๆ เรื่องราวเดือดร้อนต่าง ๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ไม่เป็นศัตรูซึ่งกันและกัน นี้คือผู้ที่ไม่บ้าเพราะความโกรธ ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” เวรจะระงับก็ต่อเมื่อรู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน
บ้าเพราะความหลง คือความเข้าใจผิดว่า เป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา เกิดความยึดมั่นถือมั่น เช่นหลงในทรัพย์สมบัติ คิดว่าถ้าตัวเองมีทรัพย์สมบัติมาก จะทำให้ตนเองเหนือผู้อื่น เช่น
ผู้ที่บ้าหลงในยศ เมื่อมียศก็หลงยศ หลงอำนาจจนขาดเมตตาธรรม เมื่อมียศก็หลงว่าตนเองเป็นผู้วิเศษกว่าผู้อื่น ชอบเอารัดเอาเปรียบผู้ใต้บังคับบัญชา ใช้ยศใช้อำนาจในทางที่ผิด เช่นทุจริตคดโกง คอรัปชั่น ใช้ยศใช้อำนาจรังแกผู้น้อย ขาดความรักความสงสาร จิตใจโหดร้ายทารุณ เห็นแก่ตัวไม่เห็นใจผู้อื่น นี้คือผู้ที่บ้ายศ
ผู้ที่ไม่บ้าหลงในยศ คือผู้ที่มียศฐาบรรดาศักดิ์สูง ไม่ใช้ยศใช้อำนาจไปในทางที่ผิด เช่น ทุจริต คดโกง คอรัปชั่น ไม่ใช้ยศใช้อำนาจรังแกผู้น้อย มีคุณธรรมประจำใจ มีพรหมวิหาร ๔ คือมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อยากให้เพื่อนร่วมงานทุกคนมีความสุข พ้นจากความทุกข์ ผู้ใดมีความเจริญก้าวหน้า ในหน้าที่การงานก็จะพลอยยินดี มีความเป็นกลางต่อผู้ร่วมงานทุกคน โดยไม่มี ความลำเอียง เข้าใจในคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า มียศเสื่อมยศ นี้คือผู้ที่ไม่บ้าในยศ
ผู้ที่บ้าหลงรูปร่าง จะพยายามหาเสื้อผ้าอาภรณ์ หาเครื่องประดับประดามาตกแต่งร่างกายให้สวยงามกว่าผู้อื่น ทุกข์ยากลำบากเพียงใดก็ยอม โดยไม่คำนึงถึงรูปร่างหน้าตา ฐานะ ความเป็นอยู่ของตน ไม่มีเงินก็ไปกู้หนี้ยืมสินเขามาซื้อ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับต่าง ๆ เพื่อให้ทันสมัยนิยม ในขณะนั้น โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัว แต่งตัวไม่เหมาะสมกับกาลเทศะ สีสันของเสื้อผ้าก็ไม่เหมาะสมกับรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณและวัย ไม่อายต่อสายตาของผู้ที่พบเห็น นี้คือผู้ที่บ้าหลงในรูปร่าง
ผู้ที่ไม่บ้าหลงในรูปร่าง ถึงแม้จะมีรูปร่างสวยสดงดงาม ก็ไม่หลงว่าเป็นตัวเป็นตน เพราะเข้าใจในคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ตัวเรานั้นมีเพียงธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ เท่านั้นจึงไม่ลุ่มหลงในการแต่งกาย เขาจะแต่งกายให้เหมาะสมกับฐานะ ความเป็นอยู่ และเหมาะสมกับกาลเทศะเท่านั้น จึงไม่เกิดทุกข์ เพราะการแต่งกาย นี้คือ ผู้ที่ไม่บ้าหลงในรูปร่าง
ผู้ที่บ้าหลงลูก เข้าใจผิดว่า พ่อ แม่เป็นผู้ลิขิตชีวิตลูก จึงเกิดความคิดว่า อยากให้ลูกเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เช่นอยากให้ลูกเรียนสูง ๆ เป็นแพทย์ พยาบาล เป็นนายทหาร นายตำรวจ วิศวกร เป็นนางสาวไทย เป็นดารา นักร้อง ส่วนพ่อแม่อีกประเภทหนึ่ง หลงรักลูกจนไม่ยอมให้ลุกไปไหน ทำอะไร พ่อแม่จะเป็นผู้พาไปและทำให้เองทุกอย่าง จนลูกเป็นคนโง่ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ไปอยู่กับใครก็ไม่ได้กลายเป็นปัญหาสังคม เมื่อลูกเป็นไม่ได้ ดังที่พ่อแม่ต้องการ ก็เกิดทุกข์มากมาย ร้อนรนกระวนกระวายใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ บางคนถึงกับเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะไม่รู้ว่าลูกที่เกิดมานั้น จากอดีตชาติ เขาได้กระทำกรรมดี กรรมชั่วมามากน้อยต่างกัน นี้คือ ผู้ที่บ้าหลงลูก
ผู้ที่ไม่บ้าหลงลูก คือคนที่เข้าใจในความเป็นจริงว่า ลูกเราเกิดมาเพราะกฎแห่งกรรม กรรดี กรรมชั่ว ที่เขาทำมาแล้วในอดีตชาติ พ่อแม่เป็นเพียงผู้ให้กำเนิด เขาจะชั่ว จะดี จะมีหรือจน สายหรือไม่สวย โง่หรือฉลาด แตกต่างกัน เพราะกรรมในอดีตชาติ ส่งผลมาถึงปัจจุบัน พ่อแม่ไม่ใช่ผู้ลิขิตชีวิตลูก ในเมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว พ่อแม่จึงมีหน้าที่เลี้ยงดูลูก อบรมสั่งสอน ให้เขารู้จักบาปบุญคุณโทษ และปฏิบัติตนตามครรลองคลองธรรม จารีตประเพณีเป็นคนดีของสังคม ส่วนลูกจะเป็นไปตามที่พ่อแม่ต้องการหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของเด็กที่ติดตัวมา ถ้าเด็กมีพื้นฐานดี ดังเช่นบางคนเกิดมาว่านอนสอนง่าย ส่วนเด็กที่มีพื้นฐานที่ไม่ดี ก็จะเป็นเด็กว่ายากสอนยาก สร้างแต่ความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น และสังคมประเทศชาติ ดังมีอยู่ทั่วไป เมื่อพ่อแม่เข้าใจดังนี้แล้ว แม้ลูกจะไม่เป็นไปตามที่พ่อแม่ต้องการ ก็จะไม่เกิดความเดือดร้อนใจกระวนกระวายมากนัก ดังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนไว้ว่า “ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ” นี้คือ พ่อแม่ที่ไม่บ้าหลงลูก
ผู้ที่หลงบ้ากาม จะเสพสมไม่เลือก เพราะไม่อิ่มในรสกาม โดยไม่เลือกว่า สามี ภรรยาของผู้ใด ลูกเต้าเหล่าใคร ไม่ว่าเด็กหรือคนแก่ ไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่เลือกแม้กระทั้ง พระเถร เณรชี แม้กระทั้งลูกในใส้ของตัวเอง แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ไม่เว้น โดยไม่คำนึงถึงความทุกข์ ความเดือดร้อน ของตนเอง และผู้อื่น เป็นผู้ที่ทำลายจารีตประเพณี อันดีงาม ทำให้สังคมเสื่อมโทรม นี้คือ ผู้ที่หลงบ้ากาม
ผู้ที่ไม่หลงบ้ากาม คือผู้ที่นำศีลข้อที่ ๓ มารักษา กาย วาจา ไม่ประพฤติผิดในกาม และนำธรรมประกอบศีลข้อที่ ๓ มารักษาใจ คือมีความสำรวมในกาม ไม่เป็นชู้กับสามี ภรรยาผู้อื่น พอใจในสามี ภรรยาของตนเอง มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของจิต ในเมื่อผู้ใดมีคุณธรรมต่อสามีภรรยา ก็จะไม่ไปข่มขืนกระทำชำเราให้ผู้อื่นเดือดร้อนใจ นี้คือ ผู้ที่ไม่หลงบ้ากาม จะทำให้ชีวิตมีแต่ความสุขสงบตลอดไป
ผู้ที่หลงบ้าอิทธิพล เนื่องจากมีทรัพย์สมบัติมาก จึงตั้งตนเป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ มีพรรคพวกบริวารมาก จึงใช้อิทธิพล ข่มเหง ทำร้าย รังแก ผู้อื่น โดยไม่คำนึงถึง ว่าจะผิดกฎหมาย ผิดครรลองคลองธรรม ผิดจารีตประเพณี เช่นตั้งบ่อนการพนัน ขายหวยใต้ดิน ค้ายาเสพติด ค้าอาวุธสงคราม ค้ามนุษย์ ใช้เงินจ้างฆ่าคน ดังที่เกิดขึ้นแล้วมากมายในสังคมปัจจุบัน โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น กับตนเอง สังคมประเทศชาติ บ้านเมือง นี้คือผู้ที่หลงบ้าอิทธิพล
ผู้ที่ไม่หลงบ้าอิทธิพล คือ ถึงจะมีทรัพย์สมบัติมากมายก็ไม่ลุ่มหลงมัวเมา ไม่ตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ ถึงจะมีพรรคพวก บริวารมาก ก็ไม่ข่มเหงรักแกใคร มีคุณธรรมประจำใจ มี หิริ โอตตัปปะ มีเมตตา กรุณา เป็นคุณธรรมประจำใจ มีความอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สร้างสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ มีความละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป มีอาชีพที่สุจริต ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับตนเอง และผู้อื่น ช่วยเหลือสังคม ประเทศชาติบ้านเมือง ให้เจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป นี้คือ ผู้ที่ไม่หลงบ้าอิทธิพล
ผู้ที่เป็นใบ้ เป็นใบ้ในที่นี้หมายถึง คนที่พูดได้เป็นปกติ แต่ไม่นำศีลข้อที่ ๔ มารักษาวาจา ชอบพูดปดหลอกลวง พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ พูดความดีไม่เป็น พูดแต่ความไม่ดี พูดแต่เรื่องที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เช่นชักชวนให้ไปทำความชั่วผิดครรลองคลองธรรม บาปบุญไม่มี เวรกรรมไม่มีจริง ไม่มีชาตินี้ชาติหน้า ไม่เชื่อกฎแห่งกรรม ชักชวนให้ลุ่มหลงมัวเมา ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มัวเมาในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ชักชวนไปลักทรัพย์ จี้ ปล้นทรัพย์ของผู้อื่น ชักชวนไปเล่นการพนัน เที่ยวผู้หญิง ดื่มสุรา เสพยาเสพติด ชักชวนไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตผู้อื่น แม้คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ยังพูดว่า ทำดีได้ดี มีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป นี่คือคนที่เป็นใบ้ในที่นี้ พูดอะไรออกไปก็ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อน ต่อตนเองและผู้อื่น
ผู้ที่ไม่เป็นใบ้ หมายถึงผู้ที่มีศีลข้อที่ ๔ ประจำวาจา ไม่พูดปดหลอกลวง ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ จะพูดในเรื่องที่ดีมีประโยชน์ สำหรับตนเองและผู้อื่น เช่น ชักชวนผู้อื่นกระทำแต่ความดี ตามครรลองคลองธรรม เป็นต้นว่า พูดชักชวนให้ผู้อื่นให้ทาน นำศีลมารักษา กาย วาจา พูดชักชวนให้เจริญสมาธิ เพื่อให้จิตใจสงบ มีสติควบคุมจิตได้ ชักชวนผู้อื่นให้นำคำสอนมาพิจารณาและปฏิบัติตามให้รู้แจ้งเห็นจริง รู้จักตนเองเรียกว่า ผู้มีปัญญา สามารถเอาชนะกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่คือ ผู้ที่ไม่เป็นใบ้ พูดแต่เรื่องที่ดีมีประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น
๓. โรคตาบอด
ผู้ที่ตาบอด ตาบอดในที่นี้หมายถึง คนที่ตาดีแต่มองเห็นความชั่วเป็นความดี และมองเห็นความดีเป็นความชั่ว ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสอนไว้ว่า “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว” เช่น เห็นเขาตั้งวงดื่มสุรา มั่วสุมกับของมึนเมา หรือสิ่งเสพติดให้โทษต่างๆ เห็นเขาเล่นการพนันเช่น เล่นไพ่ เล่นหวย เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี แล้วเข้าร่วมวงมั่วสุม เห็นเขาข่มขืนกระทำชำเราจึงร่วมกระทำด้วย อย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน จนลืมนึกถึงความทุกข์ ความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัว ทำให้เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล หน้าที่การงาน ทำให้เสียบุคลิก เสียสุขภาพ เสียทรัพย์สินเงินทอง และถึงขั้นเสียชีวิต หรือเห็นผู้อื่นทุจริต คดโกง ค้ายาเสพติด ค้าอาวุธสงคราม แล้วร่ำรวย เห็นเป็นเรื่องที่ดีก็ทำตาม นี่คือ คนที่ตาบอดมองไม่เห็นความดี ถ้าผู้ใดเห็นว่าการทำความชั่วต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว ว่าเป็นความดี แล้วปฏิบัติตามเขาเหล่านั้น ซึ่งจะทำให้เกิดความทุกข์มากมาย แต่กลับรู้สึกพอใจเห็นว่าเป็นความสุข นี่คือ ผู้ที่ตาบอดในที่นี้ เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา
ส่วนผู้ที่ตาไม่บอด จะมองเห็นว่าการดื่มสุราเสพยาเสพติดเป็นสิ่งไม่ดี การเล่นการพนัน ต่าง ๆ เป็นการกระทำที่ไม่ดี การเป็นคนเจ้าชู้เป็นการกระทำที่ไม่ดี การคบคนชั่วเป็นมิตร เป็นสิ่งที่ไม่ดี การเห็นผุ้อื่นทุจริต คดโกง ค้ายาเสพติด ค้าอาวุธสงคราม เห็นเป็นสิ่งที่ไม่ดี แล้วเขาจะไม่ปฏิบัติตาม เพราะรู้ว่าจะเกิดทุกข์ เกิดโทษตามมาอย่างมากมาย นี่คือ ผู้ที่ตาไม่บอด เมื่อเห็นสิ่งที่ดีแล้วทำตาม เช่น เห็นเขาใส่บาตรพระ ให้ทานคนยากจน ช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาส ช่วยงานส่วนรวม เข้าวัดให้ทาน นำศีลมารักษา กาย วาจา ฟังธรรมเทศนา กตัญญูต่อพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายครูอาจารย์ เป็นต้น เมื่อเห็นความดีดังที่กล่าวมาแล้ว ก็ประพฤติปฏิบัติตาม นี้คือ ผู้ที่ตาไม่บอด เป็นคนมีสติปัญญาดี เป็นแบบอย่างที่ดีของคนทั่วไป
ผู้ที่หูหนวก หูหนวกในที่นี้หมายถึงคนที่หูดี แต่ฟังเสียงที่ดีไม่เข้าใจ แต่กลับไปเข้าใจในเสียงที่ไม่ดี แล้วทำตาม เช่น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนว่า ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักทรัพย์ ห้ามประพฤติผิดในกาม ห้ามพูดปดหลอกลวง ห้ามดื่มสุราหรือเสพสิ่งเสพติดต่าง ๆ เสียงเหล่านี้ทุกคนเคยได้ยินอยู่เสมอๆ คนที่ฟังแล้วไม่เข้าใจว่าคำสอนเหล่านี้มีประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม ทำให้เกิดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตขึ้น เกิดการปล้นจี้ ลักเล็กขโมยน้อย เกิดเป็นชู้ และข่มขืนกระทำชำเรา เกิดการพูดปดหลอกหลวง เอาทรัพย์ เอาชีวิต ทำลายล้างกันด้วยวาจา เกิดการดื่มสุราเสพยาเสพติดต่าง ๆ เป็นเหตุให้ขาดสติ ส่งผลให้ทำความชั่วได้ทุกอย่าง ทำให้เกิดความเดือดร้อนกับตัวเองและ ผู้อื่น ตลอดจนสังคมประเทศชาติบ้านเมือง นี่คือ ผู้ที่หูหนวก หมายความว่าฟังความดีไม่เข้าใจ
ผู้ที่หูดี หูดีในที่นี้หมายถึง ได้ยินเสียงใดแล้วเข้าใจว่าเป็นเสียงดี หรือไม่ดี ถ้าได้ยินเสียงที่ดีแล้วทำตาม เช่นได้ยินคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าเสมอ ๆ ว่า ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามเบียดเบียนสัตว์ ห้ามลักทรัพย์ ห้ามประพฤติผิดในกาม ห้ามพูดปดหลอกลวง ห้ามดื่มสุราเสพยาเสพติด เป็นเหตุให้ไม่เกิดความเดือดร้อนกับตนเองและผู้อื่น รวมทั้งสังคมประเทศชาติบ้านเมือง นี้คือ ผู้ที่หูไม่หนวก มีสติ มีปัญญาดี ไม่ทำความชั่ว จะทำให้เกิดความสงบสุขแก่ตนเองและผู้อื่น
สรุปที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ขอให้ท่านจงคิดพิจาราดูว่า ตัวท่านเป็นโรคทั้ง ๔ อย่างนี้หรือไม่ คือ บ้า ใบ้ บอด หนวก ถ้ารู้ตัวว่าเป็น ขอให้ศึกษา หาคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งมีมากมายจากผู้รู้ทั้งหลาย มาเป็นยารักษาโรคทั้ง ๔ อย่างนี้ จะได้ช่วยบรรเทา เบาบางจาก ความทุกข์ที่มี ในเมื่อท่านหายจากโรคทั้ง ๔ อย่างนี้แล้ว ท่านจะได้มีความสุข ความสบาย อย่างแท้จริง
บทกลอน โรค บ้า ใบ้ บอด หนวก
คนตาบอด ของแม่ แลไม่เห็น
ดังเฉกเช่น ความดี มีมากหลาย
แต่ความชั่ว นั้นเล่า กลับเข้าใจ
มองเห็นไว ชอบทำ อยู่ร่ำไป
คนหูหนวก ของแม่ แน่แล้วเสียง
ยินสำเนียง ที่ดี มีไฉน
มิได้ยิน คำสอน ทุกตอนไป
เสียงชั่วไซร้ กลับตอบ ชอบทำลาย
คนเป็นใบ้ ของแม่ แย่สักหน่อย
ชอบพูดพล่อย คำชั่ว มั่วเหลือหลาย
คำดีดี พูดไม่เป็น เห็นน่าอาย
ชอบทำลาย ผู้อื่น ชื่นชีวา
คนเป็นบ้า ของแม่ แย่ยิ่งนัก
ความหลงรัก พอใจ ใฝ่ฝันหา
ได้มาแล้ว ยึดมั่น ไม่ร้างรา
ใครจะมา เอาไป ยอมตายแทน
ขอทุกท่าน จงคิด จิตเศร้าโศก
เราเป็นโรค ทั้งสี่ นี้เศร้าแสน
จงหายา มารักษา หาขาดแคลน
ตระหนักแน่น ในใจ จงไตร่ตรอง
อันคำสอน ของพระองค์ ผู้ทรงเดช
เป็นยาวิเศษ รักษาใจ คลายเศร้าหมอง
จงใส่ใจ ประพฤติธรรม ตามครรลอง
ให้ถูกต้อง ทุกประโยค โรคจะคลาย