ท่านรู้จัก มนุษย์ ๔ ประเภท หรือยัง
คำว่ามนุษย์ คือสัตว์ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นมาร่วมกันกับสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ที่พระพุทธองค์ทรงยกย่องว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ เหนือกว่าสัตว์เดรัจฉาน ตรงที่มีสติปัญญา สามารถคิด พูด ทำ ในสิ่งที่ดีได้ พระพุทธองค์ทรงแยกมนุษย์ไว้ ๔ ประเภทดังต่อไปนี้
๑. มนุษย์สเทโว มีร่างกายเป็นมนุษย์แต่จิตใจเป็นเทวดา
๒. มนุษย์สภูโต มีร่างกายเป็นมนุษย์และมีจิตใจเป็นมนุษย์
๓. มนุษย์สเปโต มีร่างกายเป็นมนุษย์แต่จิตใจเป็นเปรต
๔. มนุษย์เดรัจฉาโน มีร่างกายเป็นมนุษย์แต่จิตใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน
๑. มนุษย์สเทโว หมายถึง ผู้ที่มีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มีจิตใจเป็นเทวดา ผู้ที่จะเป็นมนุษย์ สเทโวได้ ต้องมีคุณธรรมประจำ กาย วาจา ใจ หลายประการ เช่น มีทาน ศีล สมาธิ ปัญญา มีพรหมวิหาร ๔ มีเมตตา (ความรัก) มีกรุณา (ความสงสาร) มีมุทิตา (ความพลอยยินดี) มีอุเบกขา (ความเป็นธรรม) ที่สูงส่งและกว้างขวาง เช่น
มีเมตตา คือ ความรัก รักมนุษย์และสัตว์ ทุกชีวิตทุกวิญญาณ อยากให้ทุกชีวิตทุกวิญญาณ มีความสุขทั่วหน้ากัน เป็นความรักที่สูงส่งและกว้างขวาง แต่ถ้ารักเฉพาะครอบครัว ญาติ พี่น้อง พวกพ้องบริวารของตน ไม่ใช่มีความเมตตาที่สูงส่งและกว้างขวาง เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่รักญาติ พี่น้องพวกพ้องบริวารของตนเป็นปกติธรรมดา ไม่ใช่คุณธรรมที่สูงส่งและกว้างขวางแต่อย่างใด
มีกรุณา คือ ความสงสาร สงสารมนุษย์และสัตว์ทุกชีวิต ทุกวิญญาณที่ได้รับความทุกข์ อยากให้ทุกชีวิต ทุกวิญญาณพ้นจากความทุกข์ทั่วหน้ากัน เป็นความสงสารที่สูงส่งและกว้างขวาง แต่ถ้าสงสารเฉพาะครอบครัว ญาติ พี่น้องพวกพ้องบริวารของตน ไม่ใช่มีความกรุณาที่สูงส่งและกว้างขวาง เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่สงสารญาติ พี่น้อง พวกพ้อง บริวารของตน เป็นปกติธรรมดา ไม่ใช่คุณธรรมที่สูงส่งและกว้างขวางแต่อย่างใด
มีมุทิตา คือ พลอยยินดี พลอยยินดีที่มนุษย์และสัตว์ทุกชีวิตทุกวิญญาณที่ได้ดีมีสุข ไม่อิจฉาริษยา พลอยยินดีด้วยใจอันบริสุทธิ์ เป็นความพลอยยินดีที่สูงส่งและกว้างขวาง แต่ถ้าพลอยยินดีเฉพาะ ครอบครัว ญาติ พี่น้อง พวกพ้อง บริวารของตน ไม่ใช่มีความพลอยยินดีที่สูงส่งและกว้างขวาง เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่พลอยยินดีกับญาติ พี่น้อง พวกพ้อง บริวารของตน เป็นปกติธรรมดา ไม่ใช่คุณธรรมที่สูงส่งและกว้างขวางแต่อย่างใด
มีอุเบกขา คือ ความเป็นธรรม มีความเป็นธรรมให้กับมนุษย์และสัตว์ทุกชีวิตทุกวิญญาณ คือเป็นกลาง ไม่มีความลำเอียง ไม่ว่าผู้ใดจะผิดหรือถูก ก็มีความเป็นธรรมให้ทุกชีวิต ทุกวิญญาณ เป็นความเป็นธรรมที่สูงส่งและกว้างขวาง แต่ถ้ามีความเป็นธรรมเฉพาะ ครอบครัว ญาติ พี่น้อง พวกพ้อง บริวารของตน ไม่ใช่มีความเป็นธรรมที่สูงส่งและกว้างขวาง เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความเป็นธรรม กับญาติ พี่น้อง พวกพ้อง บริวารของตน เป็นปกติธรรมดา ไม่ใช่คุณธรรมที่สูงส่งและกว้างขวางแต่อย่างใด
ยังมีคุณธรรมประจำใจของมนุษย์สเทโว อีกประการหนึ่ง คือ หิริเป็นความละอายต่อบาป โอตตัปปะเป็นความเกรงกลัวต่อบาป หิริ หมายถึง ไม่ทำความชั่วทั้งกาย วาจา ใจ ไม่ว่าต่อหน้า หรือลับหลัง เพราะกลัวโทษจะเกิดขึ้นกับตนเอง และมีโอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อบาป เพราะกลัวว่าจะถูกลงโทษจากการทำความชั่ว ทางกาย วาจา ใจ มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ช่วยเหลือมนุษย์และสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือได้รับความลำบาก ให้พ้นจากทุกข์ภัยโดยทั่วกัน และยังมีคุณธรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเป็นคุณสมบัติของมนุษย์สเทโว คือผู้ที่มีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มีจิตใจเป็นเทวดา ผู้ใดปฏิบัติได้และมีคุณธรรมดังกล่าวแล้ว เมื่อตายแล้วก็จะไปเกิดเป็นเทวดาชั้นใดชั้นหนึ่ง แล้วแต่ว่าผู้ใดสร้างกรรมดีไว้มากหรือน้อยต่างกัน
๒. มนุษย์สภูโต หมายถึง ผู้ที่มีร่างกายเป็นมนุษย์และมีจิตใจเป็นมนุษย์ คือมนุษย์ที่ทำดีบ้าง
ทำชั่วบ้าง เช่น มีทาน มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาบ้าง ไม่มากนัก และยังมีคุณธรรมประจำใจ เช่นพรหม-วิหาร ๔ ก็มีบ้าง แต่ไม่สูงส่งและกว้างขวางเท่ากับมนุษย์สเทโว มีหิริโอตตัปปะ กลัวบาปกลัวโทษบ้างเป็นบางครั้งบางคราว มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อยู่บ้างเล็กน้อย ไม่สูงส่งและกว้างขวาง เหมือมนุษย์ สเทโว มีความรักความสงสาร มีความพลอยยินดี และมีความเป็นธรรมให้กับพ่อแม่ พี่น้อง ลูกหลาน และพวกพ้อง บริวาร ส่วนผู้อื่นก็มีให้บ้างเป็นบางครั้งบางคราวเท่าที่มีโอกาส
นี่คือคุณสมบัติของ มนุษย์สภูโต ผู้ใดมีการกระทำดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เมื่อตายก็จะไปเกิดเป็นมนุษย์อีกเหมือนเดิม
๓. มนุษย์สเปโต หมายถึงผู้ที่มีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มีจิตใจเป็นเปรต คือ มนุษย์ที่มีอาชีพเบียดเบียน ชอบเอาทรัพย์สินเงินทองของผู้อื่นมาเลี้ยงตนและครอบครัวเช่น ปล้น จี้ ฉกชิง วิ่งราว ลักเล็กขโมยน้อย หลอกลวง ทุจริตคดโกง มนุษย์เหล่านี้เมื่อตายแล้ว จะไปเกิดเป็นเปรต เปรตหมายถึง วิญญาณที่ล่องลอย คอยรับส่วนบุญ ที่ญาติ พี่น้อง หรือคนทั่วไป อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้บ่อย ๆ และมาก ๆ เมื่อได้รับส่วนบุญมากพอกับบาป ที่ได้ทำไว้แล้ว จึงจะพ้นจากการเป็นเปรต และอีกพวกหนึ่งที่เป็นเปรต คือพวกที่ด่าพระอริยสงฆ์ ด่าพ่อ แม่ ครูอาจารย์ และผู้มีพระคุณ พวกนี้ก็จะไปเกิดเป็นเปรตเช่นเดียวกัน เมื่อได้รับส่วนบุญพ้นจากการเป็นเปรตแล้ว ก็ใช่ว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์ทันที ถ้าผู้ใดที่ทำกรรมชั่วไว้มาก ก็จะไปเกิดในนรกขุมใดขุมหนึ่ง ตามกรรมชั่วที่ทำไว้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เมื่อใช้หนี้กรรมชั่วในนรกหมดแล้ว จึงจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ หรือไปเกิดบนสวรรค์ตามกรรมดี ที่ได้ทำไว้ในอดีต
นี่คือความหมายของคำว่า มนุษย์สเปโต ที่มีร่างกายเป็นมนุษย์แต่มีจิตใจเป็นเปรต
ยังมีมนุษย์อีกหลายประเภทที่ทำกรรมชั่วแล้ว ไปเกิดเป็นเปรตได้ เช่นข้าราชการฝ่ายตุลาการ ที่ตำแหน่งเอื้อต่อการให้ทำความผิดต่อกฎหมาย ผิดครรลองคลองธรรม เช่น ตำรวจรับสินบนจากผู้ที่กระทำความผิด นี่คือการเบียดเบียนทรัพย์ผู้อื่นมาเป็นของตนขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ ตำรวจส่งเรื่องไปให้อัยการ อัยการบางคนก็รับสินบน เช่นเดียวกันกับตำรวจ ขั้นที่ ๓ อัยการส่งเรื่องไปให้ผู้พิพากษา พิจารณาตัดสินคดีความ ผู้พิพากษาบางคนรับสินบน ก็ตัดสินคดีตามสำนวนที่ตำรวจส่งขึ้นมาเป็นอันว่าคดีนี้ ผู้กระทำความผิดไม่ได้รับโทษทางกฎหมาย เพราะมีการติดสินบนตั้งแต่ ตำรวจ อัยการ และผู้พิพากษาเป็นลำดับ
นี่คือตัวอย่างของผู้ที่มีตำแหน่งข้าราชการฝ่ายตุลาการ ที่ได้ทำการเบียดเบียน เอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตน ผู้กระทำผิดเหล่านี้ เมื่อตายแล้วล้วนไปเกิดเป็นเปรตทั้งสิ้น ข้าราชการการเมืองและข้าราชการทั่วไปก็เช่นเดียวกัน ถ้าผู้ใด คิด พูด ทำ เพื่อเบียดเบียนเอาทรัพย์สินเงินทองใด ๆ ของผู้อื่นมาเป็นของตน หรือทุจริตคดโกง ทรัพย์สินเงินทองของหลวง ถือว่าเบียดเบียนคนทั้งประเทศ ข้าราชการเหล่านี้ ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเปรตเช่นเดียวกัน และยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่ตายไปแล้ว ต้องไปเกิดเป็นเปรตอย่างแน่นอน เช่นชายหญิงผู้ที่ชอบเป็นสามีภรรยาน้อย คือ ไปเบียดเบียน เอาสามี - ภรรยาหลวงมาเป็นของตน ทำให้สามี - ภรรยาหลวงและครอบครัวเดือดร้อน และยังเบียดเบียนต่อไปคือใช้จริตมารยา ออดอ้อน หลอกลวง เอาทรัพย์สินเงินทองของมีค่าต่าง ๆจากสามี -ภรรยามาเป็นของตน โดยไม่เกรงกลัวต่อบาปบุญคุณโทษแต่อย่างใด ยังมีหญิงและชายบางคนได้สามี-ภรรยาของผู้อื่นมาแล้ว ยังมีชู้สู่สมกับผู้อื่นอีก โดยนำทรัพย์สินที่ได้มาจากสามี-ภรรยานั้น มาบำรุงบำเรอชู้ ดังที่ได้เกิดขึ้นแล้วในโลกนี้ พวกนี้ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็เรียกว่าเป็น “เปรตดิบ” และคนทั่วโลกที่เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน ถ้าเบียดเบียนมาก ก็จะไปเกิดเป็นเปรตนาน ถ้าเบียดเบียนน้อยก็จะไปเกิดเป็นเปรตไม่นาน ตามกรรมชั่วที่ได้ทำไว้ ดังคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ตรัสสอนไว้ว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมดีและกรรมชั่ว”
๔. มนุษย์เดรัจฉาโน หมายถึง มนุษย์ที่มีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มีจิตใจเป็นสัตว์เดรัจฉานขาดคุณธรรม ทั้ง กาย วาจา ใจ ไม่มีทาน ไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ไม่รู้ผิดถูก ชั่วดี ไม่รู้คุณของพ่อแม่ ครูอาจารย์ และ ผู้มีพระคุณ จิตใจโหดร้ายทารุณ ไม่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไม่รักใคร ไม่สงสารใคร ไม่ยินดีกับใคร ไม่มีความเป็นธรรม เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เป็นนักเลงผู้หญิง นักเลงสุรา นักเลงการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร มีความอิจฉาริษยาเมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข มีความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาทปองร้ายผู้อื่น บางคนถึงกับฆ่ากันตายก็มี มีความโลภมากอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยการปล้น จี้ ฉก ชิง วิ่งราว ทุจริต คดโกง เอาทรัพย์สินเงินทองของผู้อื่นมาเป็นของตน มีความหลงในตนเองมาก ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ ครูอาจารย์ ไม่เชื่อว่ามนุษย์เกิดมาเพราะกฎแห่งกรรม ไม่เชื่อว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริง หลงในความคิดของตนเองว่า เป็นความคิดที่ดี ที่ถูกต้องแล้ว มนุษย์บางคนถึงกับตบตี ด่าว่าพ่อ แม่ และฆ่าพ่อแม่ได้ เลวเหมือนสัตว์เดรัจฉานที่ไม่รู้จักพ่อแม่พี่น้อง สามารถทำร้ายทำลายกันได้ทั้งสิ้น มนุษย์บางคนมีการเสพกามไม่เลือกว่า พ่อแม่ ลูก พี่น้อง ก็สามารถเสพกามได้ เหมือนสัตว์เดรัจฉาน ที่ไม่เลือกในการผสมพันธุ์กับเผ่าพันธุ์ของมันเอง ผู้ใดมีการกระทำ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ เมื่อตายแล้วจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานนานาชนิด แล้วแต่จะทำกรรมชั่วมากน้อยต่างกัน บางคนทำกรรมหนัก คือฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ ยุยงสงฆ์ให้แตกแยกกัน ตายแล้วก็จะไปตกนรกอเวจี ไม่ได้ผุด ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกนานแสนนาน
สรุป มนุษย์ทั้ง ๔ ประเภท เกิดขึ้นแล้วในโลกนี้ ขอให้ทุกท่านจงพิจารณาตนเองว่าอยู่ในมนุษย์ประเภทใด ควรแก้ไขอย่างไร ขอให้ท่านจงใช้สติปัญญาพิจารณาไตร่ตรองด้วยตัวท่านเองเถิด
บทกลอน มนุษย์ ๔ ประเภท
มนุษย์ใด ไร้ธรรม ประจำจิต
เฝ้าแต่คิด เบียดเบียน เพียรใฝ่หา
เอาเงินทอง ของผู้อื่น เลี้ยงกายา
พระองค์ว่า เป็นเปรต ทุเรศนาน
มนุษย์ใด ไร้ธรรม ประจำใจ
ท่านว่าไว้ เฉกเช่น เป็นเดรัจฉาน
ไม่รู้คุณ พ่อแม่ ครูอาจารย์
มีสันดาน ชั่วชาติ ขาดปัญญา
มนุษย์ใด มีธรรม ค้ำจุนจิต
เฝ้าควรคิด หาธรรม นำรักษา
ทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง บางเวลา
พระองค์ว่า เป็นมนุษย์ ตลอดกาล
มนุษย์ใด ใจเป็นเทพ เสพความสุข
ใครเป็นทุกข์ เขาคิดช่วย ด้วยสงสาร
มีเมตตา ปราณี เป็นสันดาน
จิตชื่นบาน อุเบกขา พาสุขใจ
ขอทุกท่าน ควรคิด พิจารณา
ว่าตัวข้า นั้นอยู่ ประเภทไหน
ทำดีชั่ว เรารู้ อยู่แก่ใจ
ไม่มีใคร รู้เท่า เราคนทำ