เลื่อมใสในปฏิปทา ของคุณแม่ ขอคุณแม่ช่วยสงเคราะห์
เบื่อเกิด |
เมื่อเห็นรูปในเวปไซด์นี้แล้ว ก็เลื่อมใสในความปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบของคุณแม่ ที่คุณแม่แสดงให้เห็นว่า การที่จะเป็น \"พระ\" ไม่จำเป็นจะต้องห่มผ้าเหลือง หรือเป็นผู้ชายเสมอไป ลูกอาศัยปฏิบัติ อยู่ที่บ้านและขณะทำงาน เพราะยังมีหน้าที่การงาน และภาระ ที่จะต้องทำ และยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอันเสื่อมทรามนี้ยังไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ หน้าที่การงานของลูก บางครั้งต้องติดต่อลูกค้า รับโทรศัพท์ ลูกก็ต้องพยายามไม่ให้เป็นการพูดโกหก แต่จะเลี่ยง ๆ คำพูดไปแทน ปี ๆ นึง ถึงจะได้ไปเข้าวัดที่เมืองไทย เพิ่มพลัง จะเรียกว่าเพิ่มพลังหรือเปล่านะ พลังธรรม และความศรัทธา ไม่ให้ถดถอย...แต่ก็มีบางครั้ง จะเรียกว่าบ่อยครั้งก็ได้ ที่ชีวิต และสังคม พยายามที่จะให้ลูกหลงเข้าไปในกิเลส ลูกจะโทษสังคมก็ไม่ได้ ลูกเองต่างหาก ตอนนี้ลูกเหมือนตัวประหลาดในสังคม เพราะไม่ดื่มสุรา ไปไหน เค้าก็ว่าลูกน่าเบื่อ จริง ๆ แล้วตรงกันข้ามมากกว่า ลูกเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นมันน่าเบื่อ สมเพช เวทนา อยากอยู่อย่างสงบ คุยกันธรรมดา ไม่เสียงดังเพราะฤิทธ์เหล้า โดยเฉพาะเพื่อนที่สนิทกันเหมือนพี่เหมือนน้อง ลูกก็พยายามทำให้เค้าเห็นโทษของการดื่มสุรา จนเค้าสาบแช่งลูก ว่าชาติหน้าขอให้ลูกอย่าเลิกเหล้าได้เลย ลูกก็ได้แต่เวทนาเพื่อนคนนั้น ถึงแม้ว่าจะรักกันยังไง ลูกก็ไม่สามารถจะทำให้เค้ามองเห็นโทษของการดื่มเหล้าได้เลย...เพราะเพื่อนเหล่านั้น ยังคิดว่านั่นเป็นหนทางแห่งความสุข แล้วก็ยังมีเพื่อนกลุ่มที่ชอบนินทา ว่าร้ายต่อกัน นอกใจสามี โกหกเพื่อน โกหกสามี ยังชอบตกกุ้ง ตกปลา เค้าบอกว่าตกแล้วปล่อย เหงือกปลามันไม่เจ็บ ลูกก็เลยขี้เกียจที่จะพูดต่อไป วางเฉย ต่อ (เกือบ) ทุก ๆ เหตุการณ์ ลูกเห็นถึงความเสื่อมทรามเหล่านี้ แล้วก็เศร้าใจยิ่งนัก ลูกพยายามนำการทำบุญ ให้ธรรมะ จัดการทำบุญขึ้นทุก ๆ ๓ เดือน เผื่อว่าพระที่ห่มผ้าเหลือง จะช่วยคนเหล่านั้นได้บ้าง แต่ไม่มีทีท่า ที่จะเป็นไปได้เลย อย่างน้อย ๆ ให้ทุก ๆ คนได้ทำบุญ เหมือนกับเป็นอุบายให้ธรรมะ เข้าจิตใจไปทีละนิด ทีละนิด และเด็ก ๆ ลูก ๆ ก็ได้เห็นพระเห็นเจ้าด้วย สังคมของลูกไม่ได้อยู่ในเมืองไทยเจ้าคะ ห่างไกลวัด.. ตอนนี้ลูกมีความรู้สึกว่า ลูกมีหน้าที่ ที่จะเปลี่ยนจิตใจ คนเหล่านี้ วันละเล็ก วันละน้อย เพราะความคิด จิตใจ และบุญบารมี ของแต่ละคนนั้นต่างกัน ลูกก็ได้แต่รอเวลาว่า เมื่อไหร่ที่อกุศลกรรม ของคนเหล่านั้น จะถดถอย ออกไปบ้าง ก็คอยให้กำลังใจ ไม่ชอบทำให้ใครลำบากใจ อยากให้เค้าทำด้วยความเต็มใจมากกว่า... คุณแม่เป็นเหมือนคุณแม่ คงจะเข้าใจทุกอย่างนะคะ ที่มาเล่าให้คุณแม่ฟัง เผื่อคุณแม่จะให้คำปรึกษาที่ดีและให้คำแนะนำที่ดีได้ เหมือนลูกคุยกับแม่...คุยภาษา (ธรรมที่สอนให้หลุดพ้น) เดียวกันเจ้าคะ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เข้ามาคุย เพราะได้แต่เข้ามาอ่าน....ลูกไม่อยากสนใจคนเหล่านั้น แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมของตัวเองไป แต่ก็อดไม่ได้คะ ตอนแรกก็นึกไม่ออกว่าจะถามอะไร ก็เลยคุยซะยาวเลย หวังว่าคุณแม่คงไม่เบื่อก่อนนะคะ
|
คณะ ป.เจริญธรรม |
แม่ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ตอบปัญหาของลูกเวลาผ่านไปนานพอสมควร วันนี้แม่พร้อมที่จะตอบลูกแล้ว ดังต่อไปนี้ แม่เข้าใจในชีวิตของมนุษย์ปุถุชนที่ต้องทำมาหากินเพื่อให้ได้เงินทอง นำมาซื้อหา ปัจจัย ๔ มาเลี้ยงร่างกายเพราะจะขาดไม่ได้เลย แม้แต่อย่างเดียวคือ อาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เพื่อความเป็นอยู่ที่ดี ของมนุษย์ทุกคน ขอเพียงหน้าที่การงานเหล่านั้นต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ผิดธรรม ไม่ผิดจารีต ประเพณีก็ถือว่าดีทีสุดแล้ว ๑) เรื่องการเข้าวัดเพิ่มพลังนั้น การเข้าวัด หรือไปวัด บางครั้งได้บุญก็มี ได้บาปก็มี เช่นเข้าวัดได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จากพระสงฆ์ ในวัดนั้น ฟังแล้วเข้าใจเกิดปัญญาคือรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ หายสงสัยในเรื่องที่เคยสงสัย ฟังแล้วจิตใจผ่องใสมีความเห็นถูกต้องตามครรลองคลองธรรม ละชั่วประพฤติดี นี่คือการเข้าวัดได้บุญเพราะได้ความสุขใจ ส่วนการเข้าวัดได้บาป เช่น พระในวัดเป็นหมอดู ใบ้หวย ทำเสน่ห์เล่ห์กล และพูดโน้มน้าวจิตใจด้วยอุบายต่าง ๆ เพื่อหวังได้ทรัพย์สินเงินทองของเรา ฟังแล้วรู้สึกอึดอัดไม่เต็มใจที่จะบริจาค แต่ก็จำเป็นเพราะเห็นแก่หน้าพระรูปนั้น เกิดเสียดายเงินทองของตน นี่คือการเข้าวัดได้บาปเพราะมีความทุกข์ใจ ขอให้ลูกพิจารณาดูให้ดีว่าการเข้าวัดเป็นการเพิ่มพลังธรรมและศรัทธา หรือทำให้หมดศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ๒) เรื่องพาเข้าไปหากิเลส ความจริงแล้วไม่มีใครพาเราหลงเข้าไปหากิเลสได้หรอก เพราะกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันได้ติดแน่นอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว มนุษย์ทุกคนเกิดมา ไม่มีกิเลสครอบงำจิตใจเลยนั้นไม่มี ส่วนจะมีมากมีน้อยก็ย่อมแตกต่างกันไป บางคนมีความโลภมาก ความโกรธ ความหลง ก็จะมีมากตามไปด้วย บางคนโกรธมากกว่าโลภ บางคนโลภมากกว่าโกรธ บางคนความโลภ ความโกรธ ความหลงมีน้อยก็มี แล้วแต่ผู้ใดจะสร้างสมความดีความชั่วมาตั้งแต่ชาติก่อน และมาสร้างความดีความชั่วเพิ่มขึ้นในชาตินี้อีก เพราะมีกิเลสเป็นเหตุให้เกิดมาเป็นมนุษย์ และสัตว์ต่าง ๆ ๓) ที่ลูกเรียกว่าสังคมพยายามที่จะพาให้ลูกหลงไปในกิเลสนั้นก็ใช่อยู่ แต่ถ้าเรารู้ว่ามีกิเลสครอบงำจิตใจเราอยู่แล้ว และรู้ว่ากิเลสเป็นเหตุของการเกิดทุกข์ เราควรจะต้องระวังไม่ยอมเป็นทาสของกิเลสที่มีอยู่ในจิตใจของเรา และไม่ทำตามกิเลสของผู้อื่น พาตัวให้ห่างจากความชั่วต่าง ๆ ตั้งใจประพฤติแต่สิ่งที่ดีงาม ทั้งกาย วาจา ใจ คือคิดดี พูดดี ทำดี ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ผิดครรลองคลองธรรม ทำแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นเท่านั้นก็พอ จงคิดว่าการทำความดีทั้งกายวาจา ใจ เพื่อให้เราเป็นคนดี ไม่ใช่ทำความดีเพื่อให้คนอื่นเขาว่าดี ถ้าเราทำความดีเขาว่าเราเป็นคนชั่วก็เป็นไม่ได้ ถ้าเราทำความชั่วเขาว่าเราเป็นคนดีก็เป็นไม่ได้ เพราะความดีความชั่วไม่ใช่ขึ้นอยู่กับปากหรือวาจาของคน จะดีจะชั่วอยู่ที่การกระทำของเรา เรารู้ดีเพราะเราเป็นคนทำเอง ๔) ส่วนการที่ลูกช่วยเหลือดูแลเพื่อน ๆ ไม่ให้ประพฤติผิดศีลทั้ง ๕ ข้อ นั้นนับว่าลูกทำถูกต้องดีแล้ว ส่วนความหวังของลูกที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดี มีศีล มีธรรมป่ระจำใจนั้น มันเป็นไปไม่ได้ แม่ขอให้ลูกนำคำสอนของพระพุทธองค์มาพิจารณา คือ บัวสี่เหล่า และมนุษย์สี่ประเภท แล้วลูกจะหายเป็นทุกข์กับผู้อื่น ลูกลองคิดดูซิว่าพระพุทธเจ้ามีบุญมหาศาล มีสติปัญญาอันเป็นเลิศเหนือกว่ามนุษย์ทั้งโลก ยังไม่สามารถช่วยเหลือให้สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้พ้นทุกข์ได้หมดเลย แล้วมนุษย์อย่างแม่อย่างลูกจะช่วยให้มนุษย์ผู้ที่มีจิตใจเต็มไปด้วยกิเลสทั้งสามอย่าง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้หลุดพ้นไปได้นั้นยากมาก เพราะฉะนั้น ลูกจะมีความสุขบ้างก็ต้องเลือกพูดเลือกคุยกับคนที่พูดกันรู้เรื่องและเป็นเรื่องเดียวกัน แม่คิดว่าลูกควรเรียนรู้จักตนเองให้มาก ๆ เมื่อรู้จักตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว ลูกก็จะรู้จักผู้อื่นเช่นกัน ลูกเป็นคนดีมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ เรียกว่าเป็นคนดีมีคุณธรรมประจำใจ มีเมตตาคือความรัก มีกรุณา คือความสงสาร ซึ่งหาได้ยากในมนุษย์สมัยนี้ ลูกอย่าท้อถอยในการทำความดี แต่ต้องเลือกบ้างว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ถ้าทำดีผิดที่ก็เป็นบาปได้เหมือนกัน เช่นการเลื้ยงโจร หรือคบคนชั่วเป็นมิตรเป็นต้น ความเดือดร้อนก็จะเกิดขึ้นกับลูกและผู้อื่นอย่างแน่นอน ๕). แม่ขออธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้ลูกได้เข้าใจ ว่ามนุษย์ ๔ ประเภท และดอกบัว ๔ เหล่ามีลักษณะอย่างไร เพื่อให้ลูกได้เข้าใจคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างถ่องแท้ ๑) มนุษย์เดรัจฉาโน (มนุษย์ที่เปรียบเป็นสัตว์เดรัจฉาน) ๒) มนุษย์สะเปโต (มนุษย์ที่เปรียบเป็นเปรต) ๓) มนุษย์สะภูโต (มนุษย์ที่เปรียบเป็นคนธรรมดา) ๔) มนุษย์สะเทโว (มนุษย์เปรียบเป็นเทวดา) ๔). มนุษย์สะเทโว (มนุษย์เปรียบเป็นเทวดา) หมายถึงผู้ที่มีร่างกายเป็นมนุษย์ มีจิตใจเป็นเทวดา มีคุณธรรม ๔ ประการ ประจำ กาย วาจา ใจ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นคุณธรรมของพระพรหม เรียกว่า พรหมวิหาร ๔ (๑) เมตตา คือความรัก รักทุกคน ทุกชีวิต ทุกวิญญาณ ปรารถนาที่จะให้ ทุกคน ทุกชีวิต ทุกวิญญาณ มีความสุขถ้วนหน้ากันไม่มีความลำเอียง (๒) กรุณา คือ ความสงสาร สงสารทุกคน ทุกชีวิต ทุกวิญญาณที่ได้รับความทุกข์ หาทางช่วยเหลือทุกคน ทุกชีวิต ทุกวิญญาณให้พ้นจากความทุกข์ โดยไม่มีความลำเอียงไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ก็ตาม (๓) มุทิตา คือ ความพลอยยินดี กับทุกคน ทุกชีวิต ทุกวิญญาณ ที่ได้ดีมีสุข ไม่อิจฉาริษยา พลอยยินดีกับทุกคน ทุกชีวิต ทุกวิญญาณ ไม่มีความลำเอียง แม้ไม่ใช่ญาติพี่น้อง พวกพ้องก็พลอยยินดีเสมอกัน (๔) อุเบกขา คือ ความวางเฉยในสิ่งที่ควรวาง มีจิตใจเป็นกลาง เช่นถ้าลูกหลาน ญาติพี่น้องเรา ไปทำผิด เราก็ต้องมีใจเป็นกลาง ไม่ไปเข้าข้าง ไม่ไปวิ่งเต้นช่วยเหลือให้พ้นผิด ปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมคือการกระทำของเขาเอง แต่ถ้าหาก ลูกหลาน ญาติพี่น้องเราทำดี ก็ชื่นชมยินดี สนับสนุนให้เขาทำดีต่อไป ถ้าผู้ใดที่มีคุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทำแต่ความดี คิดดี พูดดี ทำดี ไม่ทำชั่วใด ๆ เรียกว่าเป็นมนุษย์สะเทโว กลอนมนุษย์ ๔ ประเภท มนุษย์ใด ไร้ธรรม ประจำจิต เฝ้าแต่คิด เบียดเบียน เพียรใฝ่หา เอาเงินทอง ของผู้อื่น เลี้ยงกายา พระองค์ว่า เป็นเปรต ทุเรศนาน มนุษย์ใด ไร้ธรรม ประจำใจ ท่านว่าไว้ เฉกเช่น เป็นเดรัจฉาน ไม่รู้คุณ พ่อแม่ ครูอาจารย์ มีสันดาน ชั่วชาติ ขาดปัญญา มนุษย์ใด มีธรรม ค้ำจุนจิต เฝ้าควรคิด หาธรรม นำรักษา ทำดีบ้าง ชั่วบ้าง บางเวลา พระองค์ว่า เป็นมนุษย์ ตลอดกาล มนุษย์ใด ใจเป็นเทพ เสพความสุข ใครเป็นทุกข์ เขาคิดช่วย ด้วยสงสาร มีเมตตา ปราณี เป็นสันดาน จิตชื่นบาน อุเบกขา พาสุขใจ ขอทุกท่าน ควรคิด พิจารณา ว่าตัวข้า นั้นอยู่ ประเภทไหน ทำดีชั่ว เรารู้ อยู่แก่ใจ ไม่มีใคร รู้เท่า เราคนทำ ดอกบัว ๔ เหล่า ๒) บัวเหล่าที่ ๒ บัวที่เสมอน้ำ หรือบัวปริ่มน้ำ ๓) บัวเหล่าที่ ๓ บัวใต้น้ำที่อยู่กลางน้ำ (กลางระหว่างความลึกของน้ำ) ๔) บัวเหล่าที่ ๔ บัวใต้น้ำที่อยู่ติดโคลนตม ๑). บัวเหล่าที่ ๑ บัวที่พ้นน้ำแล้ว พร้อมที่จะบาน หมายถึงมนุษย์ที่ดี มีศีลธรรมประจำใจ มีทาน ศีล สมาธิ ปัญญา จากอดีตชาติมามาก ได้เคยประพฤติ ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งมาแล้ว มีสติปัญญาดี รู้จัก ผิดถูก ชั่วดี รู้จักบาปบุญ คุณโทษ รู้จักเหตุของการเกิดทุกข์ คือกิเลสทั้ง ๓ อย่าง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ครอบงำจิต จึงเพียรพยายามชำระกิเลสทั้ง ๓ อย่างนี้ ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจมาโดยตลอด ทุก ๆ ชาติ จนกระทั้งกิเลสเบาบางจากจิตใจ เป็นอริยบุคคลมาหลายชาติแล้ว เมื่อได้มาเกิดชาติสุดท้าย พบพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้ฟังพระธรรมคำสอนเพียงบทใดบทหนึ่ง ก็สามารถเกิดปัญญารู้แจ้งในคำสอนบทนั้น ๆ จิตหลุดพ้นจากกิเลส เช่นเข้าใจในคำสอนบท อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตก็หลุดพ้นจากกิเลสเข้าสู่แดนวิมุตหลุดพ้น เป็นพระอรหันต์ ในชาติสุดท้ายนี้ ตัวอย่างเช่น ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เพราะได้ปัญญาอันประเสริฐจากพระพุทธเจ้า เปรียบดังดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำแล้ว พอได้แสงสว่างยามเช้า ก็บานได้ในทันที นี้คือความหมายของบัวเหล่าที่ ๑ ๒). บัวเหล่าที่ ๒ บัวที่เสมอน้ำ หรือบัวปริ่มน้ำ หมายถึงมนุษย์ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า มีทาน ศีล สมาธิ ปัญญา มากพอสมควร เป็นอริยบุคคลขั้นต้นมาจากอดีตชาติ สามารถชำระกิเลสทั้ง ๓ อย่าง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้ลดน้อยลงตามลำดับ และมีความเพียรพยายามใช้ สติ ปัญญา พิจารณาไตร่ตรอง ชำระกิเลสทั้ง ๓ อย่างนี้ อย่างจริงใจ จริงจัง และต่อเนื่อง ได้ฟังพระธรรมคำสอนอยู่เสมอ ๆ สามารถละชั่วประพฤติดี ชำระจิตใจให้สะอาดปราศจากกิเลส จนสามารถชำระกิเลสให้หมดสิ้นไปจากจิตใจได้ในที่สุด เปรียบเหมือนดอกบัวที่กำลังปริ่มน้ำ พร้อมที่จะโผล่พ้นน้ำและบานในวันรุ่งขึ้น นี้คือความหมายของบัวเหล่าที่ ๒ ๓). บัวเหล่าที่ ๓ บัวใต้น้ำที่อยู่กลางน้ำ (กลางระหว่างความลึกของน้ำ) หมายถึงมนุษย์ทีประพฤติปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มีทาน ศีล สมาธิ ปัญญา มาจากอดีตชาติบ้างเล็กน้อย ยังมีกิเลสทั้ง ๓ อย่าง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ครอบงำจิตใจอยู่มาก นับถือศาสนาตามประเพณี มิได้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนอย่างจริงจัง การปฏิบัติธรรมยังอยู่ในขั้นของโลกิยะ จิตอยู่ใต้อำนาจของกิเลส สามารถคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วได้ ไม่มีโอกาสที่จิตจะหลุดพ้นจากกิเลสทั้ง ๓ อย่างนี้ได้ เปรียบเหมือนบัวเหล่าที่ ๓ ที่อยู่กลางน้ำ ไม่สามารถโผล่พ้นน้ำได้เพราะถูกสัตว์น้ำ ปู ปลา กัดกินจนเน่าเปื่อย แต่ก็มีดอกบัวกลางน้ำบางดอก ยังสามารถเจริญเติบโตโผล่พ้นน้ำได้ เปรียบเหมือนมนุษย์ที่ได้ปฏิบัติธรรมมี ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา จากอดีตชาติมาบ้าง เมื่อเกิดมาในชาตินี้ ยังมีความอดทนขยันหมั่นเพียร พยายามประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจัง จริงใจและต่อเนื่อง แม้จะมีอุปสรรคใด ๆ ก็ไม่ย่อท้อ พยายามใช้สติปัญญา ชำระกิเลสทั้ง ๓ อย่างนี้ ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ เป็นอริยบุคคลในที่สุด เปรียบเหมือนบัวเหล่าที่ ๓ นี้ บางดอกก็สามารถที่จะเจริญเติบโตโผล่พ้นน้ำและบานได้ในเวลาอันควร นี้คือความหมายของบัวเหล่าที่ ๓ ๔). บัวเหล่าที่ ๔ บัวใต้น้ำที่อยู่ติดโคลนตม หมายถึงมนุษย์ ที่โง่เขลาเบาปัญญา ไม่รู้จักผิดถูก ชั่วดี ไม่รู้จัก บาปบุญ คุณ กลอนดอกบัวสี่เหล่า เหล่าที่หนึ่ง พ้นแล้ว แววสว่าง พอฟ้าสาง แดดส่อง ผ่องมีศรี บานสะพรั่ง สวยสด จรดราตรี เหมือนผู้มี คุณธรรม ประจำใจ เหล่าที่สอง ปริ่มน้ำ ฉ่ำชื่นจิต อีกเพียงนิด พ้นน้ำ งามสดใส เปรียบเหมือนคน มีธรรม ประจำใจ ปัญญาไว เห็นดี มีศรัทธา เหล่าที่สาม งามหน่อย ลอยเหนือพื้น ถึงแม้ตื้น ก็ไม่ควร มวลมัจฉา เปรียบเหมือนคน ท่องบ่น ภาวนา เมื่อปัญญา เกิดขึ้น คงชื่นใจ อันดอกบัว สี่เหล่า เราเฝ้าคิด ดอกนิดนิด เหล่าที่สี่ มีไฉน มักเป็นเหยื่อ ปูปลา น่าเศร้าใจ ตัวเราไซร้ คงเป็น เช่นดอกบัว ขอทุกท่าน จงคิด พิจารณา ว่าตัวข้า เป็นบัว ประเภทไหน ความดีชั่ว เราก็รู้ อยู่แก่ใจ มนุษย์ใด มีปัญญา พาสุขเอย... จาก แม่ชี ประยงค์ ธัมวงศานุกูล ประธาน คณะ ป. เจริญธรรม |
เบื่อเกิด |
คุณแม่ ป.เจริญธรรม ที่เคารพรัก ลูกขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับคำตอบ ของคุณแม่ ที่ได้ให้ความกระจ่างแก่ลูก เป็นคำตอบที่มีคุณค่าและจดจำนำมาปฏิบัติ....ลูกจะไม่ละความเพียร...ในการปฏิบัติธรรม...จนกว่าจะเป็นบัวที่พ้นน้ำจนได้วันนึง.... ด้วยความเคารพอย่างสูง เบื่อเกิด |